วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ฉากขาวทำได้พ้ภายใน 5 นาที

หาไต้ดีขึ้นไม่"1 ข่าวร้ายที่ยังดำเนินอยู่ต่อไปนั้น สุดจะหักล้างได้ กล่าวคือ1.    คนไข้มะเร็งที่ได้รับการวินิจฉัยรายใหม่ๆ คงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จาก1.1 ล้านคนในปี 1991 คาดว่าจะเป็น 1.3 ล้านคนในปี 1993   1.    จาก514,000 คนในปี 19912.    นับจากปี 1950 เป็นต้นมา จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งทั้งหมดเพิ่มขึ้น54% โดยที่มะเร็งเด้านมในสตรีและมะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ชายเพิ่มขึ้น 60% และมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น 100%3.    เป็นเวลาหลายสิปปีมาแล้ว ที่ระยะความอยู่รอด 5 ปี ยังคงอยู่อย่างเดิม18% สำหรับคนเป็นมะเร็งเด้านมและคนเป็นมะเร็งปอด 13%4.    จากจำนวนเงินงบประมาณ 1,000 ล้านดอลล่าร์ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ มีเพียง 5% เท่านั้นที่ใซ้ไปในการปีองกัน5.    รวมเข้าด้วยกันแล้ว คนไข้มะเร็งโดยเฉลี่ยมีโอกาส 50% ที่จะอยู่อีกห้าปีซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเมื่อเขาหรือหล่อนมีในสมัยปี 19716.    การอ้างต่างๆ เรื่องยารักษามะเร็งอาศัยพื้นฐานจากการตอบรับของเนื้องอกมากกว่าการยืดชีวิตยืนยาวออกไป มะเร็งเป็นอันมากตอนด้นจะหดศัวเมื่อใช้เคโมหรือการฉายรังสี แต่เนื้องอกมักจะเกิดการต้านยาแล้วจากนั้นการรักษาก็ไม่ให้ผล7.    พอถึงตอนสิ้นศตวรรษ คาดว่า โรคมะเร็งจะลํ้าหน้าโรคหัวใจในฐานเป็นต้นเหตุของการตายหมายเลข 1 ในอเมริกา ตอนนี้มันเป็นหมายเลขหนึ่งของความกลัวแล้วเราสร้างความก้าวหน้าไปบ้างหรือเปล่า?สงครามกับมะเร็งนับว่า “มีค่าเท่ากับความล้มเหลว” หรือ  กล่องไฟถ่ายรูปราคาถูก “กำลังก้าวหน้าไปอย่างช้าๆ” อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะฟังผู้เชี่ยวชาญคนไหน ไม่มีใครเต็มใจที่จะแพร่คำโฆษณาซวนเชื่อว่าได้ชัยชนะในสงครามนี้แล้ว สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute) หรือ เอ็นชีไอ (NCI) ของอเมริกันระบุว่าอัตราความอยู่รอดถึง 5 ปี (ซึ่งเป็นนิยามหมายถึงการหายขาด) ของคนไข้มะเร็งเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปี 1930 มาเป็น 53% สำหรับผู้ใหญ่และ 70% สำหรับเด็กในบ้จจุบัน2 คนที่ไม่เห็นด้วยกับเอ็นชีไออ้างว่า การยังมีชีวิตอยู่ได้ถึง 5 ปีหลังจากการวินิจฉัยโรค ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการหายขาด และว่า เป็นเพราะวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้นเท่านั้น ที่ทำให้มีอัตราความอยู่รอดยาวนานขึ้นแพ้สงครามกับมะเร็ง ถึงเวลาต้องพิจารณาทางเลือกวัตถุประสงค์ของส่วนนี้ มิใช่เพื่อโจมตีสถาบันมะเร็งแห่งชาติ  กล่องไฟถ่ายสินค้าทำเอง หากแต่เพื่อทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างตรงไปตรงมาว่าวิธีการรักษามะเร็งของเราในปัจจุบันนี้ยังไม่เพียงพอและไม่สมบูรณ์ให้เห็นว่าเราจำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกบางอย่างอย่างเช่นโภชนาการ ขณะนี้ มีกลุ่มคนเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากขึ้นเป็นลำดับ ที่ยกตัวเลขออกมาหักล้างตัวเลขที่เอ็นชีไอประกาศด้วยความเชื่อมั่น  

ในหมู่ผู้ที่เคลือบแคลงเอ็นชีไอนั้น ก็ได้แก่นายแพทย์จอห์น ไบลาร์ ดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยฮารวาร์ด ซึ่งได้เขียนบทความสำนวนโผงผางในวารสารการแพทย์ของนิวอิงแลนด์ (New England Journal of Medicine) อันทำให้เกิดกระแสการสนับสนุนให้มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันมะเร็งแห่งชาติอย่างหนักหน่วง3 ไบลาร์ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของบัณฑิตยสถานแห่งชาติ (National Academy ofScience)  photobox และเป็นอดีตบรรณาธิการของวารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติเป็นคนที่เราไม่อาจจะเพิกเฉยต่อเขาเสียได้ ดร.ไบลาร์เผชิญหน้าความกระดือรือร้นโดยไม่มีเหตุผลสมควรของเอ็นชีไอด้วยการกล่าวว่า “เรากำลังแพ้สงคราม  ที่ทำกับมะเร็ง” และได้แสดงให้เห็นว่า อัตราการตาย อัตราการตายที่ได้นำเรื่องอายุมาพิจารณาประกอบแล้ว และอัตราการเกิดมะเร็ง ทั้งในจำนวนรวมและเมื่อพิจารณาเรื่องอายุแล้ว ยังคงเพิ่มขึ้นไปเป็นลำดับ แม้ว่าเอ็นซีไอจะได้ดำเนินความพยายามต่างๆมากมาย คนที่มิใช่คนผิวขาวถูกกันออกไปจากสถิติของเอ็นซีไอด้วยเหตุผลอันคลุมเครือ คนผิวดำ คนยากจนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง และคนงาน11 ล้านคนที่ต้องได้รับสารพิษ ต่างมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งและตายด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ คนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ดับอ่อน ดับ กระเพาะอาหารและอีโซฟากัส (หลอดอาหาร) มีไม่ถึง 10% ที่จะมีชีวิตรอดอยู่ถึง 5ปี4สำหรับสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่คิดจากการตายทั้งหมดในช่วงปีหนึ่ง ๆ ในอเมริกา จะเห็นว่า การตายจากมะเร็งเพิ่มจาก 3% ในปี 1900 ขึ้นมาเป็น 22%ในปัจจุบัน    ผู้เชี่ยวชาญมากมายฉับไวมากในการอธิบายแนวโน้มที่น่าตกใจนี้ด้วยการอ้างว่า เหตุผลที่ทำให้การเกิดมะเร็งมีเพิ่มขึ้น เป็นเพราะประชากรของเรามีอายุมากขึ้น นั่นก็คือ คนชรา มีโอกาสเป็นมะเร็งกันมากกว่า ทว่าการชราวัยมีอาจน่ามาใช้เป็นเหตุผลที่อธิบายถึงสัดส่วนการเกิดมะเร็งที่มีมากขึ้นราวกับโรคระบาดอยู่ในอเมริกาในขณะนี้ได้ทั้งหม อาจจะเป็นได้ว่า “ตัวหมาก” ที่น่าเศร้าสลดใจมากที่สุดในกระดานหมากรุกเกมนี้ คือเด็กๆ    เอ็นชีไอยอมรับว่า กรณีการเกิดมะเร็งในเด็ก มีเพิ่มขึ้น 28% จากปี 1950 ถึง 1989 ซึ่งส่วนใหญ่ เนื่องมาจากมลพิษในสิ่งแวดล้อมซึ่งมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง 5 มองอีกด้านหนึ่ง ความก้าวหน้าในด้านวิชาการเนื้องอกวิทยาในเด็ก lightbox ก็ทำให้อัตราการหายจากมะเร็งวัยเด็กในบางรูปแบบ เพิ่มขึ้นไปถึง 90% ซึ่งทำให้เคมีบำบัดสำหรับมะเร็งในเด็ก กลายเป็นชัยชนะของเอ็นชีไออยู่กลายๆ    อย่างไรก็ดี ในขณะที่ผู้ป่วยเหล่านี้มีชีวิตรอดอยู่ได้นานขึ้นพวกเขาก็มี'โอกาสเสี่ยงมากขึ้น ที่จะเกิดเป็นมะเร็งที่กระดูกในภายหลัง อันเนื่องมาจากการรักษาด้วยเคมี (หรือด้วยยา) และ/หรือด้วยการฉายรังสี 6มีใช่ว่าเงินควรจะเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก เมื่อสุขภาพและชีวิต ตกอยู่ในอันตราย ทว่าค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพของเรา สูงจนควบคุมไม่ได้แล้วเราใช้เงินประมาณปีละ 950,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมแห่งชาติ ไปกับการรักษาพยาบาล ในขณะที่ประเทศสวีเดน  photolightbox ซึ่งเป็นประเทศแนวสังคมนิยม มีการรักษาพยาบาลให้กับทุกคนในแบบให้เปล่า ใช้เงินเพียง 8%และระคับอดีตอเมริกันของเรา ใช้เพียง 3% ในปี 1900    แม้หลังจากที่น่าเอาเรื่องเงินเฟ้อเข้ามาพิจารณาแล้วปรับตัวเลขแล้ว ยังปรากฎว่า เราใช้เงินไปกับการรักษาพยาบาลสำหรับคนชรามากกว่าสมัยที่เราเริ่มใช้ระบบให้บริการด้านนี้ในรูปของเมติแคร์ถึงสองเท่าตัว7 การรักษามะเร็งสิ้นเปลืองเงินทองมากกว่าการรักษาโรคอื่นทั้งหมด ทำให้คนอเมริกันต้องเสียเงินปีหนึ่งๆ ราว 110,000 ล้านดอลลาร

กล่องไฟถ่ายรูป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น